Apple TV+ มีค่าบริการในการสมัครรับชม 99 บาทต่อเดือน (4.99 ดอลลาร์ ในอเมริกา) แต่แอปเปิลได้ออกโปรโมชันรับชมฟรี 1 ปี สำหรับผู้ซื้อฮาร์ดแวร์ใหม่ของแอปเปิลไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Mac หรือ Apple TV ซึ่งปัจจุบันยังคงมีโปรโมชันนี้อยู่ และล่าสุดก็ได้ขยายเวลารับชมฟรีให้ผู้ที่สมัครก่อนหน้าออกไปถึงกรกฎาคมปีนี้ด้วย
ที่ผ่านมาแอปเปิลไม่เคยเปิดเผยตัวเลขผู้สมัครชม Apple TV+ แต่คาดว่ามีจำนวนที่น้อยหากเทียบกับคู่แข่งตอนนี้อาทิ Netflix, HBO Max หรือ Disney+ เนื่องจาก Apple TV+ โฟกัสที่การสร้างคอนเทนต์ออริจินัลเป็นหลัก และถึงตอนนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 55 เรื่อง
เราเห็นข่าว Disney เปิดธุรกิจสตรีมมิ่งหลักคือ Disney+ มาตั้งแต่ปลายปี 2019 แต่จริงๆ แล้ว Disney ยังมีบริการสตรีมมิ่งตัวอื่นอีกหลายตัว ได้แก่ Hulu ที่เน้นใช้ชมทีวีสด-ดูรายการทีวี (แตกต่างจาก Disney+ ที่เน้นดูหนัง-ซีรีส์), ESPN+ สำหรับคอกีฬา และล่าสุดคือ Star+ ที่ได้มาจากการซื้อกิจการ 20th Century Fox
เมื่อปัจจัยเสริมเรื่องคนอยู่บ้านทำให้สตรีมมิ่งโตทะลุเป้า บวกกับปัจจัยลบเรื่องธุรกิจออฟไลน์มีปัญหายกแผง ยุทธศาสตร์ใหม่ของ Disney ในปี 2020 จึงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการทุ่มสุดตัวกับสตรีมมิ่ง เททรัพยากรทุกอย่างลงมา หนังเวอร์ชันที่วางแผนจะฉายในโรง ก็ต้องปรับมาเป็นฉายสตรีมมิ่งเกือบทั้งหมดแทน
Bob Iger ประธานบอร์ดของ Disney ระบุว่าแผนการของบริษัทคือออกหนัง-ซีรีส์ใหม่บนสตรีมมิ่งให้ได้ปีละ 100 เรื่อง ครอบคลุมทุกแขนงตั้งแต่หนังคนแสดง แอนิเมชัน สารคดี
ในงานแถลงแผนการต่อนักลงทุนรอบนี้ Disney นำทรัพยากรทุกอย่างที่มี แฟรนไชส์หนังดังๆ ที่เคยซื้อกิจการมาตลอดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา (Pixar, Marvel, Star Wars, Fox) เปิดฉากถล่มผู้ชมและแฟนหนังทั่วโลกอย่างอลังการ ด้วยอาวุธหนัก
ฝั่งแฟนการ์ตูน Disney ในอดีตก็ได้พบกับการรีเมค Pinocchio, Peter Pan มาเป็นหนังคนแสดง และการหยิบการ์ตูนฮิตในช่วงหลัง เช่น Baymax, Zootopia, Moana มาทำซีรีส์ ทั้งหมดที่เอ่ยชื่อมาแปะท้ายด้วยโลโก้ Disney+ Original แปลว่าชมได้ทางสตรีมมิ่งเท่านั้น
ฝั่งของหนังโรงที่ประกาศทำไปแล้ว และยังไงเสียต้องฉายในโรงด้วยแน่ๆ ก็มาพร้อมกับนโยบายใหม่คือ Premier Access สมาชิก Disney+ มีสิทธิชมพร้อมกันกับวันแรกที่ฉายโรง เช่น Black Widow, The Little Mermaid, Raya and the Last Dragon, Luca
นี่ยังไม่รวมถึงบริการสตรีมมิ่งอื่นๆ เช่น Star ที่เน้นตลาดละตินอเมริกา (ได้มาจากการซื้อ Fox), Hotstar ที่เน้นตลาดอินเดีย-อินโดนีเซีย รวมถึงคอนเทนต์จาก National Geographic, คอนเทนต์กีฬา ESPN ที่หันมาทำสารคดีของนักกีฬาชื่อดังๆ มากขึ้น และช่องทีวี FX ที่ได้มาจากการซื้อ Fox โดยจะเข้ามาเติมเต็มคอนเทนต์ให้ Hulu อีกด้วย
Media and Entertainment ผลิตสื่อและความบันเทิง (ทุกช่องทาง)
Parks, Experiences and Products ธุรกิจสวนสนุกและบริการต่างๆ ที่เป็นแบบออฟไลน์
จะเห็นว่าโครงสร้างใหม่ของ Disney สะท้อนทิศทางใหม่ของบริษัทที่เน้นธุรกิจสื่อ (ที่ในตัวมันเองก็เน้นสตรีมมิ่งมากกว่าสื่อแขนงอื่น) และธุรกิจที่ไม่ใช่สื่อ เพื่อให้เห็นโครงสร้างต้นทุน-กำไร-ขาดทุนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
คำสำคัญที่แจ่มชัดตลอดงานแถลงแผนของ Disney มีเพียงคำเดียวที่พูดย้ำซ้ำไปซ้ำมาตลอดงานคือ DTC (Direct-to-Consumer) ซึ่งหมายความว่าสตรีมมิ่งจะเป็นธุรกิจที่สำคัญที่สุดของบริษัท และย่อมมีนัยสะท้อนว่า ธุรกิจภาพยนตร์ฉายโรง-ผลิตรายการฉายทีวี จะไม่มีอนาคตสดใสอีกแล้วในมุมมองของ Disney
ปีหน้าเราจะเห็น Disney ลงทุนคอนเทนต์หนักๆ แต่ขาดทุนหนักด้วย เพราะยอดสมาชิกยังไม่เข้าเป้า แต่ถ้าคลังคอนเทนต์ในมือพร้อมสรรพแล้ว การโกยยอดสมาชิกให้มากพอที่จะชดเชยการขาดทุนได้ ย่อมไม่ใช่ความฝันอันเลือนลางแน่นอน
ส่วนกรณีของ Hulu และ ESPN+ นั้น Disney ประเมินว่าจะทำกำไรได้ในปีการเงิน 2023 ทั้งคู่
นักลงทุนชื่นชอบในแผนการใหญ่ของ Disney รอบนี้ หุ้นขึ้นทันที 10% ในวันเดียวกัน ส่งผลให้หุ้น Disney มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมูลค่าบริษัททะลุ 3 แสนล้านดอลลาร์
Netflix สะท้าน HBO สะเทือน
เว็บไซต์ไอที The Verge ถึงกับใช้คำว่างานแถลงครั้งนี้คือการเปิดเผย “ร่างจริง” ของ Disney+ (the real Disney+) ตามวิสัยทัศน์ที่ฝันเห็น และเท่ากับว่า Disney+ เวอร์ชันปีแรก (ที่คอนเทนต์ใหม่ไม่ได้เยอะมากนัก มีแต่หนังเก่าๆ ที่เคยฉายโรงมาแล้ว ยังสามารถโกยยอดสมาชิกมาได้เกือบ 90 ล้านคน) เป็นแค่ออเดิร์ฟเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
Reuters เรียกการประกาศแผนคอนเทนต์ของ Disney ในรอบนี้โดยใช้ชื่อจาก Star Wars ว่า “empire strikes back at Netflix” และบอกว่าผลพวงจากการเปิดตัวคอนเทนต์ชุดใหญ่ครั้งนี้ มาจากการเตรียมการ สั่งสมกำลังมายาวนานหลายปี กว้านซื้อแฟรนไชส์คอนเทนต์ดังๆ เพื่อมาเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดแฟนคลับทุกแขนง ตั้งแต่เด็กผู้หญิงไปจนถึงชายวัยกลางคน
The Verge เรียกงานแถลงรอบนี้ว่าเป็นการส่งสัญญาณต่อโลกว่า “เราสามารถปล่อยของชุดใหญ่ระดับนี้ได้ เพราะเราคือ Disney” เราจะเห็นยุทธศาสตร์การสร้างซีรีส์ใหม่ของตัวละครระดับรองๆ (เช่น กรณีของ Marvel หรือ Star Wars) แล้วยังประสบความสำเร็จได้ต่อเนื่อง เพราะแฟนๆ ลงทุนเรียนรู้และผูกพันไปกับจักรวาลขนาดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นจุดแข็งที่มีแต่ Disney เท่านั้นที่ทำได้
บริการของ Crunchyroll มีผู้สมัครใช้งานมากกว่า 90 ล้านคน จาก 200 ประเทศที่ให้บริการ ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจ Funimation เป็นบริษัทร่วมทุนของสองบริษัทในเครือโซนี่ได้แก่ Sony Pictures Entertainment และ Aniplex ที่เป็นธุรกิจย่อยของ Sony Music Entertainment (Japan)
แต่จะให้เลื่อนไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ได้เช่นกัน ค่ายหนังจึงจำเป็นต้องหาทางออกวิธีอื่น เช่น Disney นำหนังใหม่บางเรื่องมาฉายบน Disney+ แทน โดยมีทั้งเก็บเงินเพิ่มจากค่าสมาชิกปกติ และให้ดูได้เลยถ้าเป็นสมาชิกอยู่แล้ว
ล่าสุด Warner Bros. Pictures Group ก็ประกาศแนวทางคล้ายกัน แต่ครอบคลุมหนังทั้งหมดของปี 2021 ว่าจะฉายบนสตรีมมิ่ง HBO Max พร้อมกับวันฉายในโรงเลย หนังจะอยู่บนแพลตฟอร์ม HBO Max เป็นเวลาหนึ่งเดือน ส่วนเวอร์ชันที่ฉายโรงจะอยู่ต่อไปตามปกติ
รายชื่อหนังที่ Warner Bros. คาดว่าจะออกฉายในปี 2021 (อาจเปลี่ยนแปลงได้) ได้แก่ The Little Things, Judas and the Black Messiah, Tom & Jerry, Godzilla vs. Kong, Mortal Kombat, Those Who Wish Me Dead, The Conjuring: The Devil Made Me Do It, In The Heights, Space Jam: A New Legacy, The Suicide Squad, Reminiscence, Malignant, Dune, The Many Saints of Newark, King Richard, Cry Macho, Matrix 4