สิ้นสุดการรอคอยกันแล้ว สำหรับการเปิดตัว Huawei Mate 9 สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Huawei ที่หมายมั่นปั้นมือมาเจาะตลาดมือถือระดับไฮเอนด์ ซึ่งก็สร้างกระแสได้ดีทีเดียว แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มีเรื่องที่น่าลำบากใจอยู่อย่าง แต่ไม่ใช่เรื่องของดีไซน์หรือคุณสมบัติตัวเครื่องนะ แต่กลับเป็นเรี่องที่ Huawei ได้นำ Huawei Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design เข้ามาจำหน่ายเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งานในไทยด้วยนั้นเอง ซึ่งจุดนี้นี่แหละที่ทำให้คนกำลังสนใจเกิดอาการรักพี่เสียดายน้องขึ้นมาทันที รวมถึงบางคนก็อาจยังไม่ทราบถึงความแตกต่างของทั้งสามรุ่นว่า เหมือนและต่างอย่างไรกันบ้าง และรุ่นไหนที่จะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ดังนั้นเพื่อให้หลายคนตัดสินใจง่ายขึ้นอีกนิด จึงขอพาทุกคนไปดูจุดแตกต่างของ Huawei Mate 9 ทั้งสามรุ่นกันเลย

เริ่มกันที่สเปกตัวเครื่อง Huawei Mate 9 ทั้งสามรุ่น
ในด้านของสเปกตัวเครื่องนั้น ทั้งสามรุ่นจากมีข้อแตกต่างกันอยู่ 4 จุดใหญ่ ดังนี้ครับ
- หน้าจอแสดงผล : ในด้านของหน้าจอ Huawei Mate 9 จะเป็นรุ่นเดียว ที่มาพร้อมหน้าขนาดใหญ่ 5.9 นิ้ว ใช้พาแนล IPS และให้ความละเอียดมาที่ระดับ FullHD เท่านั้น ส่วนของ Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design จะมีหน้าจอขนาดที่เล็กกว่า โดยมาพร้อมหน้าจอโค้งขนาด 5.5 นิ้ว ใช้พาแนล AMOLED และให้ความละเอียดมาที่ QuadHD หรือ 2K
- RAM/ ROM : Huawei Mate 9 จะมาพร้อม RAM 4GB และหน่วยความจำภายใน (ROM) 64GB ในขณะที่ Mate 9 Pro จะมาพร้อม RAM 6GB และ ROM 128GB ส่วนด้าน Mate 9 Porsche Design จะเป็นรุ่นที่ให้หน่วยความจำภายใน (ROM) มามากที่สุดคือ 256GB และมี RAM เท่าตัว Pro ที่ 6GB
- การรองรับ MicroSD Card : ในบรรดาทั้งสามรุ่นจะมีเพียง Huawei Mate 9 เท่านั้น ที่รองรับการเพิ่มหน่วยความจำด้วย MicroSD Card ซึ่งรองรับได้สูงสุดที่ 256GB
- การใช้งาน 2 ซิมการ์ด : ผลจากการรองรับ MicroSD Card ได้ของ Huawei Mate 9 เลยทำให้เป็นรุ่นเดียวที่รองรับการใช้งานซิมการ์ด 2 ซิม แบบ Hybrid ที่ต้องเลือกใช้งานระหว่างซิม 2 กับ MicroSD Card ในขณะที่อีกสองรุ่นทั้ง Mate 9 Pro และ Mate 9 Porsche Design จะรองรับการใช้งานซิมการ์ด 2 ซิม โดยไม่ต้องเลือกเปลี่ยนใช้ได้เลย
บทสรุปด้านสเปกตัวเครื่องของ Huawei Mate 9, Huawei Mate 9 Pro, Huawei Mate9 Porsche Design
|
Huawei Mate 9

|
Huawei Mate 9 Pro

|
Porsche Design

|
Display
|
IPS 5.9” FullHD
|
AMOLED 5.5 QHD
|
AMOLED 5.5 QHD
|
CPU
|
Hisilicon Kirin 960 Octa-core 2.4GHz + i6 Co-Processor
|
Hisilicon Kirin 960 Octa-core 2.4GHz + i6 Co-Processor
|
Hisilicon Kirin 960 Octa-core 2.4GHz + i6 Co-Processor
|
GPU
|
Mali-G71 MP8
|
Mali-G71 MP8
|
Mali-G71 MP8
|
RAM
|
4GB
|
6GB
|
6GB
|
ROM
|
64GB
MicroSD Card 256GB
|
128GB (No Support MicroSD card)
|
256GB (No Support MicroSD card)
|
Camera
|
Dual cam Leica Gen 2
Rear (F2.2)
-
RGB 12 MP
-
Monochrome 20 MP
Front : 8 MP (AF, F1.9)
|
Dual cam Leica Gen 2
Rear (F2.2)
-
RGB 12 MP
-
Monochrome 20 MP
Front : 8 MP (AF, F1.9)
|
Dual cam Leica Gen 2
Rear (F2.2)
-
RGB 12 MP
-
Monochrome 20 MP
Front : 8 MP (AF, F1.9)
|
OS
|
Android OS 7.0 Nougat with EMUI 5.0
|
Android OS 7.0 Nougat with EMUI 5.0
|
Android OS 7.0 Nougat with EMUI 5.0
|
Dual SIM
|
Hybrid
|
Dual SIM
|
Dual SIM
|
FingerPrint
|
รองรับ
|
รองรับ
|
รองรับ
|
Battery
|
4000 mAh
|
4000 mAh
|
4000 mAh
|
Price
|
23,900 บาท
|
27,900 บาท
|
49,900 บาท
|
ด้านดีไซน์การออกแบบ
Huawei ได้ทำการออกแบบ Mate 9 ด้วยแนวทางการออกแบบ “Bold, Meticulous and Refine” ซึ่งเป็นแนวทางการออกแบบที่ยึดเอาเอกลักษณ์ของซีรีย์ Mate ที่มองปัปเรารู้ทันทีว่าคือ สมาร์ทโฟนซีรีย์ Mate มาผสมผสานเข้ากับแรงบันดาลใจจากองค์ประกอบต่างๆ จากธรรมชาติ โดยตัวเครื่องมีขนาดกกว้าง 78.9 มิลลิเมตร สูง 156.9 มิลลิเมตร หนา 7.9 มิลลิเมตร มีน้ำหนักตัวเครื่องรวม 190 กรัม

ในขณะที่ Mate 9 Pro จะมีดีไซน์การออกแบบที่แตกต่างจาก Mate 9 อย่างเห็นได้ชัด โดยด้านหน้าของตัวเครื่องจะใช้หน้าจอแสดงผลแบบโค้ง (หน่อยๆ) ขนาด 5.5 นิ้ว ทำให้ตัวกระจกหน้าจอจะดูโค้งลงไปที่ด้านข้างตัวเครื่องเล็กน้อย ในขณะที่ด้านล่างของหน้าจอ จะมีการเพิ่มปุ่มกดแบบสัมผัสที่ติดตั้งเทคโนโลยี Haptic Feedback มาไว้บริเวณด้านล่างหน้าจอ เพื่อใช้สำหรับสแกนลายนิ้วมือ ในขณะที่ Mate 9 จะไม่มี ซึ่งมีขนาดตัวเครื่องกว้าง 75 มิลลิเมตร สูง 152 มิลลิเมตร หนา 7.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักตัวเครื่องรวม 169 กรัม


ด้าน Huawei Mate 9 Porsche Design สมาร์ทโฟนสุดหรู ที่ทาง Huawei จับมือกับทีมออกแบบของแบรนด์หรู Porsche Design ในการนำเทคโนโลยีของ Huawei มาผสมผสานเข้ากับการออกแบบขั้นเทพของ Porsche Design ภายใต้แนวทางการออกแบบ “Two Trailblazing Band, One Revolutionary Design” ซึ่งตัวเครื่องจะมีความคล้ายกับ Mate 9 Pro เกือบทั้งหมด บริเวณด้านบนหน้าจอจะมีข้อความ “Porsche Design” ระบุไว้อย่างชัดเจน และด้านหลังตัวเครื่องบริเวณตรงกลางฝาหลังก็จะมีสัญลักษณ์โลโกของ Porsche Design โดยมีขนาดตัวเครื่องกว้าง 75 มิลลิเมตร สูง 152 มิลลิเมตร หนา 7.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักตัวเครื่องรวม 165 กรัม


จุดเด่นหลักเพิ่มเติมจาก Huawei P9/P9 Plus
เชื่อว่าน่าจะเป็นคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลายคนอย่างแน่นอนว่า Huawei Mate 9 ซีรีย์ มีข้อแตกต่างอะไรจาก Huawei P9/P9 Plus บ้าง แน่นอนว่าจุดแตกต่างใหญ่ๆ คือ เรื่องของดีไซน์และสเปกตัวเครื่อง ในขณะที่รายละเอียดเพิ่มเติมในจุดอื่นๆ มีดังนี้ครับ
- กล้อง Dual cam LEICA Gen 2 : เป็นจุดแรก ที่ถูกเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเข้ามาจาก Huawei P9 และ P9 Plus โดยกล้องคู่บน Huawei Mate 9, Mate 9 Pro และ Porsche Design Huawei Mate 9 จะเป็นกล้องคู่ตัวเดียวกัน ที่เป็น Dual Cam LEICA Gen 2 ซึ่งมีการพัฒนาขั้นตอนของการโปรเซสภาพเพิ่มเติมเข้ามาใหม่ รวมทั้งเพิ่มความละเอียดของกล้อง Monochrome มาเป็น 20 MP จากเดิม 12MP ทำให้ภาพที่ได้มีความคมและมีมิตมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ด้านฟังก์ชั่นของตัวกล้อง รองรับการถ่ายภาพวีดีโอที่ระดับความละเอียด 4K, มีโหมดถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอมาให้ (ของเดิมปรับเอง), Hybrid Zoom และทาง Huawei ก็ได้ใส่ระบบ OIS เข้ามาให้ด้วย ในขณะที่ตัว Gen 1 จะไม่มีทั้งหมด

- EMUI 5.0 + Machine Learning : สมาร์ทโฟนซีรีย์ Mate 9 ทั้งสามรุ่น จะมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android OS 7.0 Nougat ตั้งแต่แกะกล่อง ซึ่งตัว OS ก็จะมีการครอบทับด้วย EMUI เวอร์ชั่น 5.0 ที่ทาง Huawei พัฒนาขึ้นมาใหม่ ทั้งเรื่องดีไซน์ที่มีการปรับเปลี่ยนให้ดูสบายๆ และเรื่องของระบบการทำงานที่ครั้งนี้ ทาง Huawei เผยว่า ได้นำเทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาผสานเข้ากับตัว OS ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะเรียนรู้และจดจำพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้งาน เพื่อเลือกการประมวลผลให้เหมาะสม ส่งผลให้เมื่อใช้งานไปนานๆ ตัวเครื่องจะไม่เกิดอาการช้า หรือหน่วง เมื่อสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ ตอนนี้ยังไม่มีบน Huawei P9/P9 Plus

- Enhanced Power : เป็นระบบจัดการด้านพลังงานบนตัวเครื่องของ Huawei Mate 9 ทั้งสามรุ่น ที่ทาง Huawei ใส่เข้ามาเพื่อให้ช่วยควบคุมเรื่องของการชาร์จพลังงานเข้าแบตเตอรี่แบบรวดเร็วเป็นไปได้อย่างปลอดภัย โดยตัวระบบจะควบคุมการทำงานด้วยกันถึง 5 ชั้น ซึ่งจะดูแลเรื่องของการปล่อยประจุ, อุณหภูมิขณะชาร์จ ให้เหมาะสมตลอดการใช้งาน โดยทาง Huawei เคลมว่าระบบชาร์จเร็วตัวนี้ สามารถชาร์จแบตเพียง 20 นาที ก็สามารถสแตนบายการใช้งานได้ทั้งวัน
บทสรุป
มาถึงตรงนี้เชื่อว่า หลายคนน่าจะมองจุดแตกต่างหลักๆ ของทั้งสามรุ่นได้แล้ว และน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วด้วยเช่นกัน แต่สำหรับใครที่ยังลังเลใจว่ารุ่นไหนดี แนะนำว่า ลองถามตัวเองดูก่อนครับว่ามีงบประมาณเท่าไร ไลฟ์สไตล์การใช้งานเป็นอย่างไร เพราะทั้ง 3 รุ่นนั้นจะแตกต่างกันในเรื่องของดีไซน์และสเปกตัวเครื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วหากไม่ได้ติดเรื่องของขนาดหน้าจอ และต้องการความแรงในระดับเต็มสตรีม Huawei Mate 9 ก็น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมดแล้วครับ แต่ถ้าหากต้องการความสุดจริงๆ และมีงบไปเพิ่มอีกหน่อย Huawei Mate 9 Pro ก็รอทุกท่านอยู่ครับ! และหากใครอยากได้ความ Limited เป็นหนึ่งใน 800 คนแล้วล้าก็ Huawei Mate 9 Porsche Design คือคำตอบครับ

from:http://droidsans.com/compare-spec-huawei-mate-9-mate-9-pro-and-porsche-design
Like this:
ถูกใจ กำลังโหลด...